พริกไทยดำ
ชื่อเครื่องยา | พริกไทยดำ |
ชื่ออื่นๆของเครื่องยา | |
ได้จาก | ผลแห้งแก่จัดแต่ยังไม่สุกทั้งเปลือก |
ชื่อพืชที่ให้เครื่องยา | พริกไทย |
ชื่ออื่น(ของพืชที่ให้เครื่องยา) | พริกน้อย |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | Piper nigrum L. |
ชื่อพ้อง | - |
ชื่อวงศ์ | Piperaceae |
ลักษณะภายนอกของเครื่องยา:
ผลรูปกลม ผลแห้งมีผิวสีดำ ผิวนอกหยาบ มีรอยย่น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 4-6 มม. เปลือกนอกสีน้ำตาลเข้มออกดำ มีรอยย่นคล้ายร่างแห ที่ขั้วมีรอยก้านผล เปลือกผลชั้นนอกและชั้นกลางลอกออกง่าย เปลือกชั้นในบางและค่อนข้างแข็ง 1 ผลมี 1 เมล็ด ผงพริกไทยดำมีสีน้ำตาล-ดำ กลิ่นฉุน รสเผ็ดเล็กน้อย ทางยานิยมใช้พริกไทยดำมากกว่าพริกไทยล่อน
เครื่องยา พริกไทยดำ
เครื่องยา พริกไทยดำ
เครื่องยา พริกไทยดำ
เครื่องยา พริกไทยดำ
ลักษณะทางกายภาพและเคมีที่ดี:
ปริมาณน้ำไม่เกิน 14% v/w ปริมาณสิ่งแปลกปลอมไม่เกิน 2% w/w ปริมาณเถ้ารวมไม่เกิน 7% w/w ปริมาณเถ้าที่ไม่ละลายในกรด ไม่เกิน 1.5% w/w ปริมาณน้ำมันระเหยง่าย ไม่น้อยกว่า 1% v/w ปริมาณสารอัลคาลอยด์ โดยคำนวณเทียบกับ piperine ไม่น้อยกว่า 5 % w/w
สรรพคุณ:
ตำรายาไทย: ใช้ เมล็ด ลดอาการท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลมในลำไส้ให้ผายเรอ ช่วยเจริญอาหาร ,แก้กองลม , บำรุงธาตุ , แก้ลมอัมพฤกษ์ , แก้มุตตกิต , แก้ลมสัตถกะวาตะ , แก้ลมอันเนื่องจากอวัยวะสืบพันธุ์ , แก้ลมมุตตฆาต (ลมที่ทำให้ท้องลั่นโครกคราก) ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้ตัวเย็นรู้สึกร้อนเหงื่อออกสบาย ขับปัสสาวะ กระตุ้นประสาท บำรุงธาตุ บำรุงไฟธาตุ แก้อาหารไม่ย่อย ผลและเมล็ด รักษาอาการปวดกระเพาะอาหาร อาเจียน แก้ลม จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในกระเพาะ ท้องเสีย แก้ปวดท้อง ปวดฟัน แก้ท้องอืด อาหารไม่ย่อย แก้หวัด ทำให้น้ำลายออกมาก ช่วยให้น้ำย่อยหลั่งมากขึ้น ทำให้อยากอาหาร แก้อ่อนเพลีย กษัยกร่อนแห้ง แก้บิด ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตะคริว แผลปวดเพราะสุนัขกัด ฝี สะอึก ห้ามเลือด ยาหลังคลอดบุตร ปวดศีรษะ แก้อาหารเป็นพิษ ตำรายาอินเดีย ใช้กลั้วคอ แก้เจ็บคอ ลดไข้
นอกจากนี้บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ปรากฏการใช้พริกไทยในยารักษาอาการโรคในระบบต่างๆของร่างกาย ได้แก่ ตำรับ “ยาประสะกานพลู” มีส่วนประกอบของพริกไทยร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อจากอาหารไม่ย่อย เนื่องจากธาตุไม่ปกติ
ตำรายาไทยพริกไทยจัดอยู่ใน “พิกัดตรีกฎุก” แปลว่าของที่มีรสร้อน 3 อย่าง เป็นพิกัดยาที่ประกอบด้วยเครื่องยา 3 อย่าง ในปริมาณเสมอกันคือ เมล็ดพริกไทย เหง้าขิงแห้ง และดอกดีปลี มีสรรพคุณแก้โรคที่เกิดจากวาตะ(ลม) เสมหะ และปิตตะ(ดี) ในกองธาตุ กองฤดู กองอายุ และกองสมุฏฐาน “พิกัดตัวยาเผ็ดร้อน 6 ชนิด” คือการจำกัดจำนวนตัวยาเผ็ดร้อน 6 ชนิด คือ พริกไทย ดีปลี ผลผักชีลา ใบแมงลัก ผลกระวาน ใบโหระพา มีสรรพคุณแก้ลมจุกเสียด ช้ำบวม ช่วยย่อยอาหาร
พริกไทยใช้เป็นองค์ประกอบสำคัญในยาแผนโบราณของจีนและอินเดีย ใช้แก้หวัด ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดประจำเดือน คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:
ลดอาการท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียดและช่วยขับลม ใช้ผลบดเป็นผง ปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานครั้งละ 0.5-1 กรัม (ประมาณ 15-20 เมล็ด) หรือ จะใช้ผงชงน้ำดื่ม รับประทาน 3 เวลาหลังอาหาร
องค์ประกอบทางเคมี:
ในผลมีน้ำมันหอมระเหยอยู่ 1% - 2.5% ประกอบด้วย beta-caryophyllene (28.1%), delta-3-carene (20.2%), limonene (17%), beta-pinene (10.4%), alpha-pinene (5.8%), terpinolene, alpha-copaene, alpha-humulene, delta-cadinene, camphene เป็นต้น และพบสาร alkaloid 5-9% โดยมีอัลคาลอยด์ piperine และ piperettine (ทำให้เกิดกลิ่นฉุนและเผ็ด) เป็นองค์ประกอบหลัก และพบอัลคาลอยด์อื่น ๆ ได้แก่ chavicine, piperyline, piperoleines A, B, C piperanine
การศึกษาทางเภสัชวิทยา:
ฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ไปยังมดลูก
Piperine เป็น alkaloid หลักที่พบในพืชจําพวก พริกไทย (black pepper, white pepper), ดีปลี (Piper longum) และพวกพลูต่างๆ เป็นสารที่มีผลต่อการไหลเวียนของโลหิต และระบบการหายใจ การศึกษาผลของ piperine ต่อการไหลเวียนของเลือดที่ไปยังมดลูก (uterine blood flow) ในสัตว์ทดลองโดยใช้หนูขาว ทั้งในสภาวะปกติที่ไม่ตั้งท้อง และในสภาวะที่ตั้งท้องในระยะเวลาต่างๆ กัน โดยใช้หลักการของการเปลี่ยนแปลงของคลื่นเหนือเสียง (ultrasonic pulse doppler flowmeter) เป็นตัววัดการไหลเวียนของเลือดที่ไปยังมดลูก ผลจากการวิจัยพบว่าเมื่อให้ piperine เข้าทางเส้นเลือดแดงในขนาดตั้งแต่ 0.5 ถึง 2.0 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวของหนูหนึ่งกิโลกรัม จะทําให้เกิดความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน และปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงยังมดลูกเพิ่มขึ้นชั่วขณะตามความดันเลือด การเปลี่ยนแปลงความดันโลหิต และปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกนี้จะสัมพันธ์กับขนาดของ piperine ที่สัตว์ทดลองได้รับ และเมื่อให้ยาต่างๆ แก่สัตว์ทดลองพบว่า ยา phentolamine หรือ isoptin สามารถป้องกันการเกิดความดันโลหิตสูงที่เกิดจาก piperine ได้ ส่วนยา propranolol, atropine หรือ reserpine ไม่สามารถป้องกันได้ ดังนั้นจึงคาดว่ากลไกการออกฤทธิ์ของ piperine ที่ทําให้เกิดความดันโลหิตสูงน่าจะเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นผ่าน adrenergic receptor และการเพิ่มขึ้นของการขนส่งของแคลเซียม (Ca 2+) เข้าไปยังเซลล์ กลไกการออกฤทธิ์ของ piperine ต่อการขยายตัวของเส้นเลือดที่ไปยังมดลูกอาจเกิดจากฤทธิ์โดยตรงของ piperine ต่อผนังเส้นเลือด เนื่องจาก piperine มีฤทธิ์เพิ่มปริมาณของเลือดที่ไปยังมดลูก ทั้งในหนูที่ไม่ตั้งท้อง และในหนูที่ตั้งท้อง (จงจินตน์, 1987)
ฤทธิ์ระงับปวด
ศึกษาฤทธิ์ระงับปวดของพริกไทยดัวยวิธี tail immersion method โดยจุ่มหางหนูถีบจักรลงในน้ำอุณหภูมิ 45±1ºC แล้วจับเวลาที่หนูสามารถทนต่อความร้อนได้โดยไม่กระดกหางหนี (tail-flick latencies) ผลการศึกษาพบว่า สาร piperine ที่แยกได้จากผลพริกไทย ขนาด 5 mg/kg และสารสกัดพริกไทยด้วยเอทานอล ขนาด 15 mg/kg สามารถออกฤทธิ์ระงับความเจ็บปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) โดยจะออกฤทธิ์หลังจากให้สารทดสอบแล้ว 120 นาที และสารสกัดพริกไทยด้วยเฮกเซน ขนาด 10 mg/kg จะออกฤทธิ์หลังจากให้สารทดสอบแล้ว 60 นาที (p<0.05) การทดสอบวิธี analgesy-meter โดยการเพิ่มแรงกดไปที่เท้าของหนูขาว บันทึกพฤติกรรมที่ทำให้หนูทดลองนำขาออกจากเครื่องมือ ผลการศึกษาพบว่า piperine ขนาด 10 และ 15 mg/kg จะออกฤทธิ์สูงสุดหลังให้สารทดสอบที่เวลา 30 นาที และออกฤทธิ์ต่อจนกระทั่งครบ 60 นาที, สารสกัดเอทานอล และเฮกเซน ขนาด 10 mg/kg จะออกฤทธิ์สูงสุดหลังเวลาผ่านไป 120 นาที การศึกษาด้วยวิธี hot plate method โดยจับเวลาที่หนูสามารถทนอยู่บนแผ่นความร้อนโดยไม่กระโดดหนี หรือยกเท้าขึ้นเลีย ผลการศึกษาพบว่า สาร piperine ในขนาด 5 และ 10 mg/kg และสารสกัดเฮกเซน ออกฤทธิ์ลดปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยออกฤทธิ์ได้สูงสุดหลังเวลาให้สารทดสอบแล้ว 120 นาที การทดสอบฤทธิ์ระงับปวดโดยเหนี่ยวนำให้หนูถีบจักรเกิดความเจ็บปวดจนเกิดอาการบิดงอลำตัว (writhing) ด้วยกรดอะซิติก พบว่า สาร piperine ขนาด 10 mg/kg และสารสกัดพริกไทยด้วยเอทานอล ขนาด 15 mg/kg สามารถออกฤทธิ์ต้านอาการเจ็บปวด โดยลดจำนวนครั้งในการเกิด writhing ของหนูได้อย่างมีนัยสำคัญ (Tasleem, et al, 2014)
ศึกษาฤทธิ์ระงับอาการปวดของสาร piperine ที่เป็นองค์ประกอบหลักในเมล็ดพริกไทยดำ ในหนูถีบจักรเพศผู้ ทดสอบด้วยวิธี writhing test โดยฉีด piperineในขนาด 30, 50 และ 70 mg/ kg เข้าทางช่องท้องของหนู หลังจากนั้น 30 นาที จึงฉีดกรดอะซิติกเพื่อเหนี่ยวนำการปวด บันทึกผลจากการบิดเกร็งของช่องท้องร่วมกับการยืดขาหลังอย่างน้อย 1 ข้าง ซึ่งแสดงถึงอาการปวด ใช้ยา indomethacin ฉีดเข้าช่องท้อง เป็นสารมาตรฐาน ผลการทดสอบพบว่าสาร piperine (70 mg/ kg) และ indomethacin (20 mg/kg) สามารถยับยั้งอาการปวดได้ 89% และ 67% ตามลำดับ (p<0.001 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม) ฤทธิ์ระงับอาการปวด ด้วยวิธี Tail flick assay ทดสอบโดยฉีดสาร piperine ในขนาด 30 และ 50 mg/ kg หรือสารมาตรฐานมอร์ฟีน (5 mg/ kg) แก่หนูแต่ละกลุ่ม หลังจากนั้น 50 นาที จึงนำหางหนูวางบนแผ่นรวมแสง แล้วจับเวลาเพื่อดูการยกหางหนีจากความร้อน ผลการทดสอบพบว่าสาร piperine ทั้งสองขนาดมีฤทธิ์ในการระงับความเจ็บปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม) โดยpiperine ในขนาด 30 mg/kg ออกฤทธิ์ได้ใกล้เคียงกับมอร์ฟีน 5 mg/kg ระยะเวลาที่หนูทนความร้อนได้เมื่อได้รับ piperine (50 mg/kg) และกลุ่มควบคุม เท่ากับ 17.2±0.5 และ 3.7±0.3 วินาที ตามลำดับ เมื่อให้ naloxone ขนาด 5 mg/kg พบว่าฤทธิ์ระงับปวดของ piperine ถูกยับยั้งได้ด้วยนาลอกโซน (opioid antagonist) แสดงว่ากลไกการออกฤทธิ์ระงับปวดเกี่ยวข้องกับตัวรับ opioid (Bukhari , et al., 2013)
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
สาร spathulenol จากเมล็ดพริกไทยดำ มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ COX (ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องในขบวนการอักเสบ) ได้ในระดับปานกลาง สามารถยับยั้ง COX-2 receptor ได้ 54 % ที่ความเข้มข้น 454 ไมโครโมลาร์ ในขณะที่สารบริสุทธิ์ piperine ที่แยกได้ ยับยั้งการสังเคราะห์พรอสตาแกลนดินได้ 33.4% ที่ความเข้มข้น 37 ไมโครโมลาร์ สาร nonanal และ trans-2-nonenal สามารถลดกระบวนการสร้างสารที่ทำให้เกิดการอักเสบจากการใช้ arachidonic acid เป็นสารเริ่มต้นได้ 50 % ที่ความเข้มข้น 0.25 ไมโครโมลาร์ (Tangyuenyongwatanaand Gritsanapan, 2014)
ศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของพริกไทยโดยแบ่งหนูออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ได้รับ diclofenac sodium เป็นยามาตรฐาน ขนาด 10 mg/kg กลุ่มที่ 2 ได้รับ saline water เป็นกลุ่มควบคุม กลุ่มที่ 3 ได้รับสาร piperine ขนาด 5,10 และ 15 mg/kg กลุ่มที่ 4 ได้รับสารสกัดเฮกเซนจากพริกไทยขนาด 5,10 และ 15 mg/kg กลุ่มที่ 5 ได้รับสารสกัดเอทานอลจากพริกไทย ขนาด 5,10 และ 15 mg/kg หลังจากนั้น จึงกระตุ้นให้เท้าหนูเกิดการบวมโดยฉีด carrageenan ปริมาณ 0.1 mL เข้าที่อุ้งเท้า แล้วเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยขนาดของเท้าหนูที่บวมขึ้น ที่เวลา 30, 60 และ 120 นาที พบว่า สาร piperine ทุกขนาด มีฤทธิ์ยับยั้งการบวม ขนาดที่ออกฤทธิ์สูงสุดคือ 15 mg/kg ที่เวลา 120 นาที สารสกัดเฮกเซนจากพริกไทย และสารสกัดเอทานอลจากพริกไทย ขนาด 10 mg/kg ออกฤทธิ์สูงสุดที่เวลา 60 นาที เช่นกัน สารทดสอบทุกชนิดออกฤทธิ์ได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม แต่มีฤทธิ์น้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับยามาตรฐาน (Tasleem, et al, 2014)
การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดเอทานอลจากพริกไทย ยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ (NO) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งหลั่งจาก macrophage ของหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่าสารสกัดเอทานอลของเมล็ดพริกไทย และสารบริสุทธิ์ piperine ซึ่งเป็นองค์ประกอบทางเคมีหลักในพริกไทย มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง NO โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 10.52±0.68 และ 11.48±1.58 มคก./มล. ตามลำดับ โดยออกฤทธิ์ได้ดีกว่ายามาตรฐาน (ยามาตราฐาน Indomethacin IC50 เท่ากับ 20.32±3.28 มคก./มล.) (อินทัช และคณะ, 2557)
ฤทธิ์ระงับอาการชัก
ทดสอบโดยการฉีดสาร piperine ที่เป็นส่วนประกอบหลักของพริกไทยดำในขนาด 30, 50 และ 70 mg/ kg เข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักรเพศผู้ หลังจากนั้น 30 นาที จึงฉีด pentylenetetrazole (PTZ) ในขนาด 70 mg/kgเพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการชัก ผลการศึกษาพบว่าสาร piperine ขนาด 50 และ 70 mg/ kg ทำให้ระยะเวลาก่อนเริ่มเกิดการชักหลังได้รับสารกระตุ้น (onset) ยาวนานขึ้น และมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม) โดยออกฤทธิ์ได้ดีกว่าสารมาตรฐาน carbamazepine ขนาด 30 mg/kg และเมื่อใช้สารกระตุ้นการชักเป็น picrotoxin (15 mg/ kg, ip) พบว่าการให้ piperineขนาด 70 mg/kg และกลุ่มควบคุม ทำให้ onset ยาวนานมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม เท่ากับ 878.5±3.2 และ 358.4±14.4 วินาที ตามลำดับ (p<0.001 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม) โดยสรุปสาร piperine ที่เป็นส่วนประกอบหลักในพริกไทยดำมีฤทธิ์ต้านอาการชักได้ โดยออกฤทธิ์ผ่าน GABA-ergic pathways จึงมีศักยภาพในการนำมาพัฒนาเพื่อใช้ในทางคลินิกในการรักษาอาการชักได้ (Bukhari , et al., 2013)
ผลต่อพฤติกรรมการเรียนรู้
การศึกษาผลของ piperine ซึ่งเป็นสารกลุ่มอัลคาลอยด์ที่ได้จากพริกไทยดำ และพืชชนิดอื่นที่ใกล้เคียง ต่อกระบวนการเรียนรู้ และความจำในหนูขาวเพศผู้ สายพันธุ์ ICR โดยใช้เมอร์ริสวอเทอร์เมซ (Morris water maze) ซึ่งเป็นเครื่องมือเชิงพฤติกรรมที่ใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ และความจำในหนูทดลอง จากผลการทดสอบพบว่าการให้ piperine ทางช่องท้องหนูขาวเล็กในขนาด 5, 10 และ 20 mg/kg ต่อวันนาน 2 สัปดาห์ สารทดสอบทุกขนาดสามารถลด escape latency (ระยะเวลาที่หนูสามารถว่ายน้ำออกจากอุปกรณ์เพื่อมาเกาะที่ platform) ของหนูขาวเล็กได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมได้เท่ากับ 11.00±1.05, 10.00±0.43, และ 4.00±0.23 วินาที (p<0.05) ตามลำดับ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม 32.00±4.49 วินาที และยังสามารถเพิ่ม retention time (ระยะเวลาที่หนูว่ายน้ำอยู่ในบริเวณที่เคยมี platform) ของหนูขาวเล็กได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เท่ากับ 32.00±0.73, 31.00±0.62 และ 32.00±1.28 วินาที ตามลำดับ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม 19.00±0.54 วินาที นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มระดับของตัวรับนิโคตินิกอะเซติลโคลีนในสมองของหนูขาวเล็กได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยมีค่าเท่ากับ 28.09±13.73, 19.55±2.60 และ 18.20±2.13 เฟมโตโมล/มิลลิกรัม ตามลำดับ เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม 15.97±3.04 เฟมโตโมล/มิลลิกรัม ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า piperine ที่เป็นส่วนประกอบที่ได้จากพริกไทยดำ และพืชชนิดอื่นที่ใกล้เคียงกัน มีผลในการเพิ่มการเรียนรู้ และความจำในหนูขาวเล็ก และอาจมีความเกี่ยวเนื่องกับระดับตัวรับนิโคตินิกอะเซติลโคลีนที่เพิ่มขึ้นในสมองของหนูขาวเล็ก ซึ่งอาจพัฒนาให้เป็นยาเพิ่มการเรียนรู้ และความจำที่ใช้รักษาในคนต่อไปได้ (Chaiwiang, et al., 2016)
การศึกษาทางคลินิก:
รักษาโรคพยาธิตัวจี๊ด
การศึกษาทางคลินิคของยาสมุนไพรซึ่งมีขมิ้น และพริกไทยเป็นส่วนประกอบ ในผู้ป่วยโรคพยาธิตัวจี๊ดจำนวน 23 ราย พบว่าเมื่อให้ผู้ป่วยรับประทานยาในขนาด 250 มก. วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 30 วัน และติดตามผลต่อเป็นระยะเวลา 6 เดือน พบว่าผู้ป่วยหายจากโรค 86.95 % ปริมาณ eosinophyll (คือเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่หลั่งออกมาเมื่อมีการอักเสบ การแพ้ หรือติดเชื้อ เป็นต้น) ลดลงใน 2 สัปดาห์ หลังจากได้รับยาสมุนไพร และกลับเป็นปกติในเวลา 4 เดือน พบฤทธิ์ข้างเคียงน้อยมาก (ชวนชื่น และอินทิรา, 1994)
การศึกษาทางพิษวิทยา:
ควรระวังการใช้พริกไทยในขนาดสูง เพราะมีรายงานความเป็นพิษต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เมื่อให้ในขนาดสูงและติดต่อกันหลายวัน
พิษเฉียบพลัน สารสกัดเอทานอลและสารสกัดน้ำ เมื่อให้ทางปากในหนูถีบจักร มีค่า LD50 เท่ากับ 12.66 และ 424.38 ก./กก. นน.ตัว (คำนวณจาก นน.ผงยา) ตามลำดับ
พิษกึ่งเรื้อรัง พริกไทยและพิเพอรีน เมื่อป้อนให้หนูขนาด 5-20 เท่า ของขนาดที่ให้ในคน พบว่าไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต น้ำหนักอวัยวะ และเคมีของเลือด
การศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลัน และพิษกึ่งเรื้อรังของสารสกัดน้ำจากผลแห้งของพริกไทย พบว่าการป้อนสารสกัดครั้งเดียวขนาด 5,000 มก./กก. ไม่ก่อให้เกิดอาการแสดงความเป็นพิษ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การตาย และความแตกต่างของลักษณะทางจุลกายวิภาคของอวัยวะภายใน ผลการศึกษาความเป็นพิษกึ่งเรื้อรังโดยการป้อนสารสกัดแก่หนูขาวทั้งเพศผู้และเพศเมีย ทุกวันในขนาด 300, 600 และ 1,200 มก./กก. เป็นเวลา 90 วัน ไม่พบความผิดปกติทางอาการ พฤติกรรม และสุขภาพของหนูขาวกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ผลการชั่งน้ำหนักตัวสุดท้าย การผ่าพิสูจน์ซากสัตว์ทดลอง การชั่งน้ำหนักอวัยวะ การตรวจค่าโลหิตวิทยา ค่าเคมีคลินิกของเลือด และการตรวจจุลกายวิภาคของหนูกลุ่มทดสอบ และกลุ่มควบคุม ในวันที่ 90 และกลุ่มติดตามผล (satellite) ในวันที่ 118 พบว่าปกติ ดังนั้นการศึกษานี้สามารถสรุปได้ว่าสารสกัดน้ำจากผลแห้งของพริกไทย ไม่ก่อพิษเฉียบพลัน และพิษกึ่งเรื้อรังในหนูขาวในขนาดที่ใช้ทดสอบ (สีหรัฐ และคณะ, 2550)
เอกสารอ้างอิง:
1. จงจินตน์ รัตนาภินันท์ชัย. ผลของ piperine ต่อการไหลเวียนของเลือดที่ไปยังมดลูก [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสรีรวิทยา]. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล; 2530.
2. ชวนชื่น ไพรีพ่ายฤทธิ์, อินทิรา เอกศักดิ์. การรักษาโรคพยาธิตัวจี๊ดด้วยยาผงสมุนไพร. วารสารสมุนไพร. 1994;1(1):27-33.
3. สีหรัฐ จุลรัฐธนาภรณ์,นิรัชร์ เลิศประเสริฐสุข, อัมรัตน์ ศรีสวัสดิ์, อมรณัฎฐ์ ทับเปีย, อนงค์นาฎ งามจริยาวัตร, ณัฎฐกัญญา สุวรรลิขิต และคณะ. การศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลัน และกึ่งเรื้อรังของสารสกัดน้ำจากผลแห้งของพริกไทยในหนูขาว. วารสารสงขลานครินทร์. 2550;29 (ฉบับพิเศษ 1):109-124.
4. อินทัช ศักดิ์ภักดีเจริญ, สุนิตา มากชูชิต, อรุณพร อิฐรัตน์. การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งไนตริกออกไซด์ของสารสกัดสมุนไพรผสม. ธรรมศาสตร์เวชสาร 2557;14(1):7-11.
5. Bukhari IA, Alhumayyd MS, Mahesar AL, Gilani AH. The analgesic and anticonvulsant effects of piperine in mice. Journal of Physiology and Pharmacology. 2013;64(6):789-794.
6. Chaiwiang N, Pongpattanawut S, Khorana N, Thanoi S, Teaktong T. Role of Piperine in Cognitive Behavior and the Level of Nicotinic Receptors (nAChRs) in Mouse Brain. Thai J Pharmacol. 2016;38(2):5-16.
7. Tangyuenyongwatana P, Gritsanapan W. Prasaplai: An essential Thai traditional formulation for primary dysmenorrhea treatment. TANG. 2014;4(2):10-1.
8. TasleemF, Azhar I, Ali SN, Perveen S, Mahmood ZA. Analgesic and anti-inflammatory activities of Piper nigrum L. Asian Pacific journal of tropical medicine. 2014;7(Suppl 1):S461-S468.
ค้นหาข้อมูลพืชที่ให้เครื่องยา : www.phargarden.com
ตัวอย่างพรรณไม้แห้ง : www.thaiherbarium.com
ข้อมูลอ้างอิงจาก : ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภชัยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี